สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ Migrant Working Group และ Sea Junction จัดงานแถลงข่าวเรื่อง “Policy Reframing: Replacement Migration-กรอบนโยบายในเรืองการทดแทนประชากร” เมื่อ วันที่ 18 สิงหาคม 2556 ที่ Sea Junction หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร (BACC) เปิดงานศึกษาเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐานและแรงงานข้ามชาติ
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.อภิชาติ ดำรัสฤทธิรงค์ กล่าวว่า สถิติการฉายภาพ (projection) ยืนยันว่า ปัจจุบันจนสิ้นสุดศตวรรษที่ 21 ประเทศไทยเป็นประเทศอันดับที่ 2 รองจากประเทศญี่ปุ่นที่จะมีจำนวนประชากรลดลงจากปัจจุบันมากกว่าครึ่งหนึ่ง กล่าวคือเหลือเพียง 30 ล้านคน อันจะนำมาซึ่งวิกฤติเศรษฐกิจและมาตรฐานการครองชีพของเรา หากเราไม่สามารถรวม แรงงานมืออาชีพต่างชาติ (professional foreign workers) ผู้อพยพ (immigrants/refugees) และแรงงานข้ามชาติ (migrants workers) เป็นประชากรวัยทำงานของเราได้
ในปีพ.ศ. 2544 สหประชาชาติได้เสนอนโยบายการย้ายถิ่นทดแทน (replacement migration) ให้เป็นเครื่องมือทางประชาชนกับประเทศที่เริ่มมีปัญหาอัตราการเกิดต่ำโดยประเทศพัฒนาแล้วที่ปัจจุบันมีอัตราการเกิดต่ำกว่าระดับทดแทน เช่น สหราชอาณาจักร เยอรมนี สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย โดยผ่านการตรวจคนเข้าเมืองอย่างผ่อนคลาย เมื่อสิ้นศตวรรษที่ 21 นี้ ประเทศเหล่านี้กลับจะมีประชาชนเพิ่มขึ้น เพราะประเทศเหล่านี้มีนโยบายและกำหนดเป้าหมายจำนวนคนเข้าเมืองอย่างชัดเจนมาตลอดและดำเนินนโยบายการบ้ายถิ่นทดแทนมาเป็นเวลานาน ก่อนสหประชาชาติได้เสนอนโยบายดังกล่าวอีกด้วย ดังนั้นประเทศไทยควรดำเนินนโยบายการย้ายถิ่นทดแทน
หากประเทศไทยตั้งเป้าจำนวนประชากรต่างชาติเพื่อให้ได้สัญชาติไทยปีละ 200,000 คน ใน 80 ปี จะได้ประชากรไทยเข้ามา 16 ล้านคน เท่ากับการทดแทนประมาณ 50% ของประชากรที่หายไปและการรับประชากรอพยพ (immigrants) ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องทดแทนทั้งหมด 100% เพราะประเทศสามารถใช้นโยบายอื่น ๆ ร่วมด้วยได้ เช่น การสร้างสัคมผู้สูงอายุที่มีศักยภาพ การพัฒนาแรงงานอย่างจริงจัง การเลื่อนอายุเกษียณ และการใช้เทคโนโลยีรวมทั้งหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ ตลอดจนการแบ่งปันทรัพยากรกันในระบบภูมิภาค เช่น ในอาเซียน เป็นต้น
ด้านรัฐศาสตร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สักกรินทร์ นิยมศิลป์ เสริมว่าประเทศไทยต้องการแรงงานข้ามชาติที่มีทักษะนับล้านคนในช่วง 10 ปีข้างหน้า เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง และเพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่มีรายได้สูง ประเทศไทยจำเป็นต้องรับผู้ย้ายถิ่นฐานถาวรมากขึ้นเพื่อชะลอการลดลงของจำนวนประชากรและกำลังแรงงานที่กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง
ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ดำเนินโครงการสมาร์ทวีซ่า เพื่อดึงดูดแรงงานที่มีทักษะ ก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ต่อมาจึงได้ออกนโยบายวีซ่าพำนักระยะยาว (Long-term Resident Vida – LTR Visa) เพื่อดึงดูดแรงงานที่มีทักษะและผู้ที่มีรายได้สูงจำนวนราว 1 ล้านคน เข้าสู่ประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการพัฒนาประเทศ อย่างไรก็ตาม โครงการ LTR ดังกล่าว ไม่ได้รับสนใจจากกลุ่มเป้าหมายเท่าที่ควรเนื่องจากมีข้อจำกัดหลายประการ ประเทศไทยจึงควรปรับปรุงนโยบายการย้ายถิ่นฐานในเชิงรุกเพื่อดึงดูดผู้มีทักษะระดับสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมายให้เข้ามาทำงานในประเทศไทยได้สะดวกขึ้นเพื่อยกระดับการพัฒนาประเทศ มากกว่าที่จะเน้นกลุ่มผู้มีรายได้สูงเป็นหลัก เช่น การดำเนินโครงการวีซ่าแบบยืดหยุ่น เพื่อให้ประเทศไทยจำเป็นต้องพิจารณาว่าผู้อพยพที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสามารถอยู่ได้นานขึ้นและมีเส้นทางสู่การปรับสถานะเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรหรือเส้นทางสู่การเป็นพลเมืองได้อย่างไร
อดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ กล่าวว่า จากการคาดการณ์โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประชากรวัยทำงานมีแนวโน้มลดลงจาก 43.26 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2583 การก้าวสู่สังคมสูงวัย (Aged Society) แบบสมบูรณ์ซึ่งในอนาคตอาจกระทบต่อกระบวนการพัฒนาทางเศรษฐกิจของไทยที่ยังต้องพึ่งพากำลังแรงงานข้ามชาติจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างนิ่งในงานภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และงานภาคบริการโดยเฉพาะงานดูแลผู้สูงอายุ การใช้แรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ทำงานคุณภาพดีและแรงงานเหล่านี้ถือเป็นทรัพยากรบุคคลสำคัญที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการปฏิรูปกฎหมายคนเข้าเมืองให้เอื้อต่อเงื่อนไขการจ้างงานแรงงานข้ามชาติอย่างต่อเนื่องและการปฏิรูประบบการให้ถิ่นที่อยู่อาศัยถาวรในประเทศไทยและการพิจารณาให้สัญชาติไทยสำหรับผู้ที่อยู่ในระยะยาว เป็นสิ่งที่ประเทศไทยควรเร่งดำเนินการ
ด้านนักเศรษฐศาสตร์ รองศาสตราจารย์ ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ เปิดเผยว่าการประเมินสถานการณ์เด็กข้ามชาติในประเทศไทยและผลกระทบจากโควิด-19 ที่พบว่าเด็กข้ามชาติได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้แก่ การเข้าไม่ถึงการบริการสุขภาพ การศึกษา อาหารและโภชนาการ นอกจากนี้ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งก็คือการหลุดหรือตกหล่นจากระบบการศึกษา ระบบประกันสุขภาพ การจดทะเบียนการเกิด และความเสี่ยงจากการขาดผู้ดูแล ความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงการถูกละเมิดสิทธิ ดังนั้นประเทศไทยควรมีการพัฒนาระบบฐานข้อมูลที่ครอบคลุมเด็กข้ามชาติ การบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการจัดการดูแลเด็กข้ามชาติที่เป็นลูกหลานแรงงานข้ามชาติให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยเฉพาะด้านการศึกษาและสุขภาพ เพราะเด็กกลุ่มนี้สามารถเป็นกำลังแรงงานขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยได้ในอนาคต
Source : https://workpointtoday.com/migrants-230818/